เธอใช้เงินสามีจนหมด ติดหนี้ 250 ล้าน มีเงินติดตัวไม่กี่พัน แต่กลับยืนได้ด้วยตัวเองในวัย 50 ปี

คอมเมนต์:

ไปทางไหนก็มีแต่คนหาว่า "หากไม่แต่งเอาเธอเข้าบ้าน ไม่แน่ว่าชีวิตของเศรษฐีก็คงไม่ต้องย่อยยับถึงจุดนี้!"

        สื่อต่างประเทศรายงานว่า เธอคือดาราสาวชาวฮ่องกงที่ชื่อ จางเสี่ยวฮุ้ย ในปี 2002 เธอและสามีที่เป็นดาราหนุ่มสุดฮอตของชาวฮ่องกงที่ชื่อ จงเจิ้นเถา ถูกศาลฟ้องให้ล้มละลาย เนื่องจากล้มเหลวในการลงทุนทำธุรกิจ ไม่เพียงเท่านี้ คฤหาสน์ก็ถูกยึด และยังต้องหย่าร้างกับภรรยาสาวแสนสวยอย่างเธอด้วย อีกทั้งยังเป็นหนี้อีก 250 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 965 ล้านบาท)

        เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้สื่อข่าว จงเจิ้นเถาก็ได้แต่ก้มหน้าไม่ยอมพูดอะไรเลย ในตอนนั้นสมองของเขาเต็มไปด้วยความว่างเปล่า ซึ่งอยู่ในจุดตกต่ำที่สุดของชีวิต 

 

Sponsored Ad

 

        ภายหลังจงเจิ้นเถาออกมาเปิดเผยว่า “สาเหตุสำคัญอีกประการที่ทำให้เขาล้มเหลวในชีวิตแบบนี้ก็เพราะ อดีตภรรยาของเขา จางเสี่ยวฮุ้ย ผู้หญิงผลาญผัว”

        เขากล่าวต่อว่า “เธอผลาญสมบัติของผมไปกว่า 150 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง แถมยังขับรถยนต์สุดหรูของผมด้วย ไม่พอยังใช้คนขับรถของผมเพื่อไปรับ-ส่งชายที่มีความสัมพันธ์กับเธอไปทำงานอีกด้วย ในตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่าเธอหลบซ่อนจากสายของผมไปได้อย่างไร แต่ในตอนนั้นผมยังคงแบกรับภาระนั้นไหว”

        ทันทีที่ข่าวเรื่องการถูกฟ้องล้มละลายของ จงเจิ้นเถา ถูกเปิดเผยในที่สาธารณะ ก็มีแต่คนพากันสงสารเขาเป็นอย่างมาก แถมยังรู้สึกละอายใจแทนจางเสี่ยวฮุ้ย พากันวิพากษ์วิจารณ์ว่า “หากไม่ใช่เพราะแต่งเอาเธอเข้าบ้าน ไม่แน่ว่าชีวิตของจงเจิ้นเถาก็คงไม่ต้องย่อยยับถึงจุดนี้”

 

Sponsored Ad

 

        หลังจากที่จงเจิ้นเถาหมดสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว จางเสี่ยวฮุ้ยก็ปลีกตัวหายไปกับเศรษฐีอีกคนที่ชื่อเฉินเย้าหมิง ข่าววงในบอกว่า ในระหว่างที่ยังกินอยู่กับจงเจิ้นเถา เธอก็แอบมีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับผู้ชายมากมาย และ เศรษฐีเฉินเย้าหมิง ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย

        แต่หลังจากที่เธอแต่งกับเฉินเย้าหมิงแล้ว ชีวิตเศรษฐีนีที่ดูเหมือนจะโรยด้วยกุหลาบก็ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิดเสมอไป เพราะธุรกิจของเฉินเย้าหมิง ค่อย ๆ ถดถอยลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งต้องขายทรัพย์สินภายในบ้านที่มีออกไปทั้งหมดเพื่อมาปรนเปรอจางเสี่ยวฮุ้ย จนกระทั่งต้องมีจุดจบเหมือนจงเจิ้นเถาอดีตสามีคนแรกของเธอ และเมื่อเขาหมดสิ้นทุกอย่าง เธอก็โบยบินจากเขาไป

 

Sponsored Ad

 

        หลังจากที่เธอได้เพลิดเพลินกับการใช้ทรัพย์สมบัติของผู้ชายทั้งสองคนติดต่อกันแล้ว เธอก็กลายเป็นผู้หญิงที่มีชื่อเสียงในแง่ลบมากในฮ่องกง และถูกขนานนามว่า  “ผู้ ห ญิ ง ก า ล กิ ณี”

        หลังจากนั้นไม่ว่าเธอจะขยับตัวไปไหนหรือทำอะไรก็เป็นข่าวไปหมด และทำให้สื่อหลายแห่งตีแผ่ประวัติชีวิตของเธอ ต่างพากันบอกว่าไม่มีใครสามารถเทียบเทียมความเก่งกาจในเรื่องนี้ของเธอได้เลย แม้กระทั่งผู้หญิงอันดับ 2 รองจากเธอก็ยังหาไม่เจอเลย 

 

Sponsored Ad

 

        จางเสี่ยวฮุ้ยตั้งแต่เล็กจนโตก็เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะ ขับรถยนต์หรู ใช้ของหรูมีราคาสูง พ่อของเธอเป็นชาวจีนที่อพยพไปอยู่ในแคนาดา เปิดบริษัทสถานีโทรทัศน์จีนที่นั่น พ่อของเธอเลี้ยงดูเธอมาอย่างทะนุถนอมอย่างกับเจ้าหญิงก็ไม่ปาน 

        ตอนอายุ 6 ขวบแม่ของเธอพาเธอไปซื้อเสื้อผ้าที่แพงที่สุดในโลกมาใส่ให้เธอ จากนั้นเมื่ออายุ 10 ขวบแม่ของเธอก็สั่งซื้อกระโปรงที่แพงที่สุดในโตเกียวให้เธอใส่ และเมื่ออายุ 14 ปี เธอก็โทรไปยังร้านที่ปารีสเพื่อสั่งทำเสื้อผ้า รองเท้า และอื่น ๆ ในแบบพิเศษที่สุด

 

Sponsored Ad

 

        หลังจากที่เธอเข้าวงการบันเทิงก็ทำให้หนุ่มหลายคนหลงรักเธอมาก เพราะเธอทั้งสวยและมีเสน่ห์ ทำผู้ชายหลายคนหัวปักหัวปํามาแล้ว ไม่น่าผู้ชายทั่วทั้งแผ่นดินถึงได้ยอมประเคนเงินทองมาให้เธอเพื่อแลกกับการมีความสัมพันธ์กับเธอ

 

Sponsored Ad

 

        ในปี 1988 เธออายุครบ 25 ปีและ จงเจิ้นเถาวัย 35 ปีก็เข้าพิธีแต่งงาน เธอสวมชุดขาวเป็นงานแต่งที่ผู้หญิงทั้งโลกใฝ่ฝันอยากได้ ในวันนั้นเธอเหมือนเจ้าหญิงในเทพนิยาย ค่าใช้จ่ายในงานแต่งของเธอหมดไปกว่า 3 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 11 ล้านบาท) ในยุคนั้นเงินจำนวนนี้ถือว่าเยอะมากทีเดียว

        จงเจิ้นเถาที่จริงก็เกิดมาในครอบครัวคนร่ำรวยมาก พ่อแม่เป็นนักสะสมของเก่าที่มีชื่อเสียง แต่เนื่องจากพ่อแม่เสียไปตั้งแต่เขายังเล็ก เขาจึงต้องลิ้มรสชาติความลำบากต่าง ๆ มากมายหลายด้าน ก่อนหน้าที่เขาจะมาเจอจางเสี่ยวฮุ้ย เขาเคยมีแฟนสาวคนในวงการมากมาย แต่เขาก็ใจไม่สปอร์ต ให้ของขวัญแฟนสาวก็แค่ “ตุ๊กตาตัวและของที่ระลึกตามสถานที่เที่ยวต่างๆ”

Sponsored Ad


        กระทั่งได้มาพบเจอจางเสี่ยวฮุ้ย ซึ่งตอนนั้นพวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นดาราดัง และเธอก็ได้เปิดตาของเขาให้เปิดตากว้างและเข้าใจโลกมากขึ้นว่า อะไรคือการเป็นคนมีเงิน ว่ากันว่าแค่เธอกระพริบตาจงเจิ้นเถาก็ใจละลาย สามารถซื้อทั้งภูเขามาให้เธอเลย

        เขาเริ่มใช้จ่ายมากขึ้นเพื่อปรนเปรอเธอ จนเพื่อนรอบข้างบอกว่าให้ควบคุมเรื่องการใช้จ่ายของเธอให้ดีมิเช่นนั้นจะทำให้สภาพคล่องทางการเงินมีปัญหา แต่เขาก็ไม่เชื่อ พร้อมกับบอกว่า “แต่งเมียก็เพื่อมาปรนเปรอไม่ใช่หรือ?”

        ในตอนนั้นแค่ร้องเพลงเดียว หรือแสดงละครเรื่องเดียวจงเจิ้นเถาก็มีรายได้พอให้เธอใช้ทั้งปีแล้ว ทำให้เขาไม่เก็บมาใส่ใจมาก แต่ทว่าในปี 1997 เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินของฮ่องกง เขายืมเงินเพื่อเก็งกำไร แต่กลับต้องสูญเสียทั้งหมด พร้อมกับถูกฟ้องล้มละลายอย่างไรก็ตามจากเหตุการณ์ครั้งนี้ มุมมองเรื่องเงินของจางเสี่ยวฮุ้ย ก็ไม่เปลี่ยนแปลง 

        จางเจิ้นเถาตั้งแต่เล็กก็ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อสร้างฐานะ มีมุมมองด้านการหาเงินและเก็บเงินที่แตกต่างจากจางเสี่ยวฮุ้ยมาก และเพราะเหตุนี้ทำให้ทั้งคู่ไปกันต่อไม่ได้จบลงด้วยการหย่าร้างในที่สุด

        สุดท้ายชีวิตของเธอก็ต้องพบเจอกับช่วงวิกฤตการณ์ เธอมีเงินติดตัวแค่ 2,000 บาทในตอนนี้เธอไม่มีผู้ชายให้พึ่งพาอาศัย ทำให้เธอต้องลุกขึ้นต่อสู้ด้วยตนเอง เธอเริ่มช่วยเพื่อนเขียนคอลัมน์แฟชั่น ทุกวันทำงานตั้งแต่เช้าถึงตี 3 วัน ๆ หนึ่งนอนไม่กี่ชั่วโมง ใช้รายได้จากการเขียนนี้มาจุนเจือครอบครัว ค่าเช่าบ้าน 30,000 ไหนจะค่าคนขับรถ ค่าแม่บ้าน ค่าเล่าเรียนลูก

         ต่อมาเธอก็เปิดร้านขายของมือสอง เนื่องจากหลายคนรู้จักเธอดีว่าเมื่อก่อนใช้ของดีแค่ไหน ทำให้มีลูกค้ามากมายต่างพากันมาซื้อ 2 ปีทำรายได้ 50 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 193 ล้านบาท) 

        แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับหนี้สิน 250 ล้านแล้วมันต่างกันมาก 50 ยังขาดอีก 200 ล้าน ในตอนนั้นเองเธอคิดได้ว่า เงินจำนวนนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะดอกเบี้ย เธอจึงสงสัยว่าวิธีการคิดดอกเบี้ยของพวกเขามีปัญหาแน่ ๆ จึงเริ่มทำการฟ้องร้องในระยะเวลา 8 เดือน สุดท้ายเธอก็ชนะ คดีและสามารถปลดหนี้ทั้งหมดได้ 

        เธอเริ่มคิดได้ และอยากที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ก็มีหลายคนหัวเราะเยาะเธอ หลังจากนั้นเป็นต้นมาเธอก็เริ่มรับงานวงการบันเทิงมากขึ้น เมื่ออายุ 41 ปี เธอก็รับแสดงภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ทำรายได้สูงทำให้เธอมีงานเข้ามาเรื่อย ๆ เมื่ออายุ 51 ปี เธอก็ทำผลงานเพลง แต่ก็มีข่าวในคลับบาร์ว่าไปทำร้ายคนอื่น ช่วงต้นชีวิตของเธอพึ่งพาอาศัยผู้ชายเลี้ยงดู แต่ก็ไปได้ไม่ไกล ช่วงบั้นปลายชีวิตของเธอ เธอก็ลุกขึ้นมาพิสูจน์ตนเองด้วยการพึ่งพาสมองและสองมือ แม้ว่าจะมีคนหัวเราะเยาะสมน้ำหน้าเธอก็ตาม


        เธออยากบอกให้โลกรู้ว่า "ดอกไม้อันอุดมสมบูรณ์ แม้ว่ามันจะถูกลม แดดและฝนพัดกระหน่ำเพียงมใด แต่สุดท้ายมันก็ยังคงเบ่งบานออกมาให้โลกได้เห็นความแข็งแรงและความงดงามที่อยู่ในตัวมันได้”

ที่มา : buzzhots | เรียบเรียงโดย ป๋าเถิกเปิดกรุ

บทความแนะนำ More +

บทความที่คุณอาจสนใจ