รู้จัก "ผิน ชุณหะวัณ" นายสิบผู้ขึ้นเป็นจอมพลรักษาความสงบ "บุรุษผู้รักชาติจนน้ำตาไหล"

คอมเมนต์:

"ผมทนดูเขาโกงกันไม่ไหว ดูซิคุณ เขารวยกันเป็นล้านๆ ผมเป็นนายพลนุ่งกางเกงปะก้น เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นเงินหมื่น..." ผิน ชุณหะวัณ ฉายา วีรบุรุษเจ้าน้ำตา!

“ผมทนดูเขาโกงกันไม่ไหว ดูซิคุณ เขารวยกันเป็นล้านๆ ผมเป็นนายพลนุ่งกางเกงปะก้น เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นเงินหมื่น” - จอมพลผิน ชุณหะวัณ

ภาพประกอบบทความ

 

Sponsored Ad

 

        เป็นที่ทราบดีว่า “รัฐ ป ร ะ ห า ร 2490” รัฐ ป ร ะ ห า ร ครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์ของไทยกระทำโดย “คณะทหาร” มีพลโท ผิน ชุณหะวัณ (ยศในขณะนั้น) นายทหารนอกราชการเป็นผู้นำ ซึ่งภายหลังได้เชิญจอมพล ป. พิบูลส ง ค ร า ม มาเป็นผู้นำคณะ รายงานข่าวในสมัยนั้นบรรยายว่า “เป็นถ้อยแถลงที่เต็มไปด้วยอารมณ์…กระทั่งมีการหลั่งน้ำตาประกอบการแถลงด้วยเพราะความสงสารประชาชน!”

        วันนี้เราจึงจะพาทุกท่านย้อนกลับไปเปิดเรื่องราวของ "จอมพล ผิน ชุณหะวัณ" นายทหารที่เริ่มชีวิตจากการเป็นนายสิบ และขึ้นสูงสุดได้ถึงจอมพล ผู้ซึ่งเป็นเหตุให้สื่อสิ่งพิมพ์ตั้งสมญานามในภายหลังได้เป็นจอมพลแล้วว่า “จอมพลเจ้าน้ำตา”

 

Sponsored Ad

 

เส้นทางชีวิตนายทหาร

        ผิน ชุณหะวัณ เป็นบุตรของชาวสวนและแพทย์แผนโบราณ จากจังหวัดสมุทร ส ง ค ร า ม 

        เมื่ออายุได้ 16 ปี สมัครเข้าเรียนที่โรงเรียนนายสิบ กรมทหารที่ 4 ราชบุรี จากนั้นไปศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อยทหารบก ร่วมรุ่นกับ จอมพล ป. พิบูล ส ง ค ร า ม (เจ้าของคำขวัญ “เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย”) และ พล.ต.อ.อดุล อดุลเดชจรัส (อธิบดีกรมตำรวจชื่อดัง) โดยได้เป็นร้อยตรีใน พ.ศ. 2459

 

Sponsored Ad

 

        จากนั้นก็เจริญก้าวหน้าตามลำดับ จนที่สุดปี 2471 ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น หลวงชำนาญยุทธศาสตร์ และได้เป็นพันตรีในปีต่อมา

        หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 ผินก็ยังคงรับราชการเรื่อยมาจนได้เป็นพลตรี ในปี 2484 และมีบทบาททางทหารมากพอสมควรในช่วง ส ง ค ร า ม โลกครั้งที่ 2 ได้เป็นทั้งข้าหลวงทหารประจำสหรัฐไทยเดิม ผู้ช่วยแม่ทัพกองทัพพายัพ จนเมื่อจอมพล ป. พ้นจากอำนาจก่อนมหา ส ง ค ร า ม สงบลง ผินก็ออกจากประจำการในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ปี 2488

หัวหน้าคณะรัฐป ร ะ ห า ร

 

Sponsored Ad

 

        หลังส ง ค ร า ม โลกครั้งที่ 2 ยุติลงแล้ว ภาวะเศรษฐกิจมีปัญหามาก ประชาชนเดือดร้อนจากการขาดแคลนข้าวบริโภค เงินเฟ้อ ค่าเงินตกต่ำ มีการเปลี่ยนรัฐบาลถึง 7 ชุดในเวลา 2 ปี ทั้งรัฐบาลยังต้องเผชิญปัญหาการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ รวมถึงกรณีส ว ร ร ค ต ของรัชกาลที่ 8 ผนวกกับความไม่พอใจของฝ่ายทหารบกที่รู้สึกว่าตนมีอำนาจและศักดิ์ศรีลดลง จึงทำให้ผินและพวกลงมือก่อการรัฐป ร ะ ห า รรัฐบาล พล.ร.ต. ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์

        ดังที่เขาเล่าว่า ในช่วงเวลานั้น “ประชาชนในพระนครเกิดอลเวงคล้ายบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป ตามร้านขายอาหารขายกาแฟและโรงมหรสพ กล่าวติเตียนรัฐบาลแซ่ไปหมดเหลือที่จะฟังได้ บางคนกล่าวขึ้นดังๆ ว่า ‘อ้ายคนดีที่รักชาติไปมุดหัวนอนกันอยู่ที่ไหน ไม่ช่วยปราบปรามให้มีความสงบ’”

 

Sponsored Ad

 

        เมื่อประชาชนเรียกร้องคนดีที่รักชาติ เมื่อชาติเผชิญพาลภัย ผินจึงขอเป็นคนที่เดินเข้ามา ไม่อาจให้สายไป

        หลังจากผินทำรัฐป ร ะ ห า รสำเร็จแล้วในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 วันรุ่งขึ้นเขาให้สัมภาษณ์นักข่าวที่กระทรวงกลาโหม ถึงสาเหตุที่ลงมือก่อการ “เพราะว่าได้รับราชการมาถึง 40 ปี เมื่อถูกปลดเป็นกองหนุนแล้ว ก็ว่างงานสบายตัว เพราะได้บํานาญถึง 500 บาท และมีสองคนผัวเมีย ลูกเต้าเป็นฝั่งเป็นฝาไปหมดแล้ว แต่มาโทมนัสว่า บ้านเมืองเป็นอย่างนี้อยู่ในภาวะเสื่อมโทรม จึงไม่สามารถทนดูได้”

 

Sponsored Ad

 

        ผินยังกล่าวโจมตีนักการเมืองไว้ด้วยว่า “ผู้แทนเอาเงินไปให้ราษฎรแลกซึ่งไม่ใช่หน้าที่เลย เพราะมีเจ้าหน้าที่พร้อมอยู่แล้ว คลังจังหวัดก็มี เจ้าหน้าที่เหล่านี้ไม่มีความสามารถหรือ ถ้าทำไม่ได้ทำไมไม่ไล่ออกไป แล้วผู้แทนแลกกลับมาได้กี่คน ตั้งองค์การสรรพหารเอาเงินมาแบ่งกันกินกำไรกัน”

        และกล่าวถึงความทุกข์ยากของพี่น้องประชาชนด้วยน้ำตานองหน้าว่า “พูดถึงชาวนามันเหลือทน ไปทำนาอยู่หนึ่งปีมันเหนื่อยยากแสนสาหัส ต่างประเทศสั่งจอบมาช่วยชาวนา แต่ผู้แทนกลับเซ็งลี้เอาไปขายพ่อค้าเสีย แล้วพ่อค้าก็ไปเอากำไรกับชาวนาอีกต่อหนึ่ง เป็นการทำนาบนหลังคน จึงพร้อมใจกันเริ่มก่อการัฐป ร ะ ห า รทันที…”

Sponsored Ad

        ทั้งยังประกาศจุดยืนต่อต้าน ค อ ร์ รั ป ชั นอีกว่า “ผมทนดูเขาโกงกันไม่ไหว ดูซิคุณ เขารวยกันเป็นล้านๆ ผมเป็นนายพลนุ่งกางเกงปะก้น เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นเงินหมื่น”

นายทหารเจ้าน้ำตา

        การให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำตาเช่นนี้ ทำให้ผินได้รับฉายาว่าเป็น “บุรุษผู้รักชาติจนน้ำตาไหล” บ้าง “จอมพลเจ้าน้ำตา” บ้าง เพราะทุกครั้งที่ให้สัมภาษณ์เรื่องการรัฐ ป ร ะ ห า รครั้งนี้ น้ำตาของเขาก็มักไหลออกมาด้วยความตื้นตัน

กลับมารับราชการทหารอีกครั้ง

        ในด้านการเมือง การรัฐ ป ร ะ ห า รของผินและพวกนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่มีการฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง แล้วประกาศใช้รัฐธรรมนูญของคณะรัฐ ป ร ะ ห า รมาแทนที่ ขณะในด้านส่วนตัว จากพลโทนอกประจำการ ผินกลับเข้ารับราชการอีกครั้งในตำแหน่ง รองผู้บัญชาการทหารบก ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2490 และได้เป็น ผู้บัญชาการทหารบก ในกลางปี 2491 ซึ่งผินกินตำแหน่งนี้อยู่เกือบจะครบ 6 ปีเต็ม จึงลงจากตำแหน่งในปี 2497  ทั้งนี้เขาได้รับพระราชทานยศจอมพลในปี 2495 

        ผินนับเป็นนายทหารที่ไต่เต้าเอาดีได้อย่างน่าสนใจ เริ่มชีวิตจากการเป็นนายสิบ และขึ้นสูงสุดได้ถึงจอมพล

        สำหรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แม้จะเป็นหัวหน้าคณะรัฐ ป ร ะ ห า ร แต่ผินปฏิเสธที่รับ โดยให้เหตุผลว่าไม่เจนจัดทางการเมือง ไม่เชี่ยวชาญภาษาต่างประเทศ และนับถือจอมพล ป. จึงขอดำรงตำแหน่งเพียงรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรในรัฐบาลของจอมพล ป. แทน

ธุรกิจของเขา

        หลังจากที่ “เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นเงินหมื่น” การเป็นหัวหน้าคณะรัฐ ป ร ะ ห า รก็ทำให้ผินมีฐานะดีขึ้นตามลำดับ จากการเข้าไปมีบทบาทในการผูกขาดกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ ในนาม “กลุ่มราชครู” ซึ่งเป็นคนในตระกูลชุณหะวัณ อดิเรกสาร และสิริโยธิน ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวดองกัน โดยแต่งตั้งคนของตนเข้าไปเป็นคณะกรรมการบริหารบริษัทข้าวไทย ไทยนิยมพาณิชย์ และรัฐวิสาหกิจต่างๆ 

        นอกจากนี้กลุ่มราชครูยังได้ตั้งบริษัทการค้าใหม่ๆ อีกหลายแห่ง เช่น ธุรกิจส่งออกข้าว ซึ่งในอดีตบริษัทข้าวไทยผูกขาดการค้าอยู่  ก่อตั้งบริษัทจัดจำหน่ายสินค้าขึ้นอีกหลายแห่งเพื่อมาแทนที่บริษัทไทยนิยมพาณิชย์ เข้าดำเนินงานในธนาคารเอเชียเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม และธนาคารกรุงศรีอยุธยา รวมถึงสร้างความสัมพันธ์กับนายชิน โสภณพนิช และกลุ่มธนาคารกรุงเทพ ด้วยการทำธุรกิจหลายประเภท เช่น ทองคำ เนื้อหมู อัญมณี การค้าไม้ และก่อตั้งบริษัทส่งเสริมเศรษฐกิจแห่งชาติ ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการทางการเงินแก่ธุรกิจแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร ตลอดจนบริษัทเพื่อผลิตสินค้าป้อนให้รัฐบาล เช่น เครื่องแบบตำรวจ อ า วุ ธ และวัสดุก่อสร้าง


ข้อมูลและภาพจาก thepeople, silpa-mag

บทความที่คุณอาจสนใจ